2012/04/08

タイのテレビドラマ รักปาฏิหาริย์ 第1話

4月8日 自宅で 今日豊春 タイ料理店マリー 
で購入した。 タイドラマ
รักปาฏิหาริบ

のDVD を見る
インターネットでシナリが見つかった。


聞き取れとれないところを確認できる。ラッキー



http://www.thaiday.com/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9540000132058



รักปาฏิหาริย์ 奇跡の愛
       ตอนที่ 1 第1話

        เวลาเย็นของวันนั้น ผู้คนในย่านไชน่าทาวน์ เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย ไม่มีใครรู้เลยว่า เหตุใด ณิชมน หญิงสาววัยยี่สิบปีจึงวิ่งกระหืดกระหอบหนีมาเฟียชาวจีนสองคนที่กำลังไล่ล่าเธอสุดชีวิต ณิชมนพยายามเร่งฝีเท้าพร้อมกับเหลียวไปดูมาเฟียทั้งสองที่กวดมาจนทัน มาเฟียคนหนึ่งคว้าตัวเธอได้ ขณะที่มาเฟียอีกคนก็มาล็อคตัวเธอไว้

       “Help ! Help ! Somebody help me !! Help !!!”
       ณิชมนร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง พร้อมกับดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มกำลัง
       จู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งโผล่ออกมาดึงตัวมาเฟีย 1 ใน 2 ออกจากตัวณิชมน
       ทั้งสองเปิดฉากแลกหมัดกันอุตลุต ณิชมนได้โอกาสตีเข่าใส่จุดยุทธศาสตร์ของมาเฟียอีกคนที่จับตัวเธออยู่ มาเฟียจีนรายนั้นคงทั้งเจ็บและจุกถึงกับทรุดลงตัวงอ
       ณิชมนได้จังหวะสะบัดตัวหลุดแล้ววิ่งหนี มาเฟียทั้งสองตั้งท่าจะวิ่งตาม แต่ชายนิรนามก็ตามมาขวางห้ามไว้ เขาตะลุมบอนกับสองมาเฟียชุลมุนจนผ้าพันคอหล่นร่วงลงบนพื้น ณิชมนวิ่งห่างออกมาได้เพียงเล็กน้อยแล้วชะงัก หันไปมองชายใจดีที่มาช่วย ก่อนที่เสียงหวอจากรถตำรวจจะดังขึ้น สองมาเฟียลนลานวิ่งหนีไป
       ชายนิรนามยืนนิ่ง หมอกรอบตัวขึ้นหนาทึบทำให้ณิชมนมองเห็นหน้าของเขาไม่ถนัดนัก
       เมื่อหมอกเริ่มจาง ชายร่างยักษ์เพื่อนพ่อของณิชมนก็เข้ามาคว้าตัวเธอให้รีบไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว ทิ้งชายนิรนามที่มาช่วยเหลือเอาไว้ก่อนที่หมอกหนาจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมจนทุกอย่างมืดมิดไปหมด
       + + + + + + + + + + +
       เช้าวันใหม่...บนเครื่องบินที่กำลังเดินทางสู่ประเทศไทย ณิชมนสะดุ้งตื่นแล้วพรวดพราดจะลุกขึ้นแต่ติดเข็มขัดนิรภัยทำให้ต้องลงไปนั่งตามเดิม ที่ลำคอของณิชมนมีผ้าพันคอของหนุ่มนิรนามที่มาช่วยเธอพันอยู่
       ข้างๆ ของณิชมนคือพงษ์เทพ หนุ่มนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ เขามองณิชมนอย่างกรุ้มกริ่มก่อนจะถามว่า
       “ฝันร้ายหรือครับ?”
       ณิชมนนั่งนิ่งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
       “หรือว่าไม่ใช่คนไทย Japanese? Korean? Chinese?” พงษ์เทพไม่ละความพยายาม
       “ฉันเป็นคนไทยค่ะ”
       ไวเท่าความคิด ณิชมนรีบสลับแหวนจากนิ้วที่มือขวา มาใส่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างรวดเร็ว
       “ผมก็นึกอยู่แล้วเชียว ถ้าสวยๆ อย่างนี้ยังไงก็ต้องเป็นผู้หญิงไทย ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม กลับมาเยี่ยมบ้านหรือครับ?”
       “กลับมาแต่งงานค่ะ”
       ณิชมนชูมือให้เห็นแหวนที่ใส่ที่นิ้วนางมือซ้าย
       “คู่หมั้นของฉันเป็นตำรวจค่ะ ยิงปืนแม่นแล้วก็ขี้หึงมาก เมื่อเดือนก่อนเราเพิ่งไปเที่ยวเมืองบาธกัน แค่มีผู้ชายขอมาถ่ายรูปฉัน เค้าซ้อมนายคนนั้นจนเกือบตาย อุ๊ย อย่าคิดว่า เค้าเป็นคนโหดร้ายนะคะ จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนไนซ์มากๆ ดูรูปแล้วคุณจะรู้ คุณจะดูรูปเค้ามั้ยคะ? “
       ณิชมนทำทีจะหยิบรูปออกจากกระเป๋าขึ้นมาให้ดู
       “ไม่เป็นไรครับๆ “
       ระหว่างนั้นแอร์โฮสเตสเข็นรถเข็นผ่านมา พงษ์เทพเฉไฉหันไปทางแอร์โฮสเตส
       “ขอไวน์แก้วครับ”
       ณิชมนไม่สนใจพงษ์เทพอีกเลย เธอหยิบหนังสือ Lonely planet เก่าๆ เยินๆ ขึ้นมาอ่านหาข้อมูลเมืองไทย

       + + + + + + + + + +

       บนเครื่องบินลำเดียวกันที่ห้องโดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ม.ร.ว. บุรธัช ราชนิกูลหนุ่มวัยสามสิบปี กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ โดยมีรวิภาส น้องชายวัยยี่สิบเอ็ดปีนั่งอยู่ข้างๆ แอร์โฮสเตสเข็นรถเข็นมาด้านข้างหยุดถามบุรธัช
       “รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ ?”
       “ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
       รวิภาสรีบยื่นหน้ามาทันที
       “แต่ผมรับครับ ขอเบียร์กระป๋องนึงครับ”
       “ขอเป็นน้ำแร่ดีกว่าครับ” บุรธัชขัดขึ้น
       แอร์โฮสเตอร์เห็นท่าทางเข้มขรึมของบุรธัชแล้ว จึงเสิร์ฟน้ำแร่ให้รวิภาส
       “ไม่เปลี่ยนเป็นน้ำส้มเลยล่ะครับ” รวิภาสขัดเคืองใจ
       “ตกลงเรื่องเรียนต่อจะว่ายังไง ถ้าแกไม่อยากเรียนที่ซิดนีย์ เดือนหน้าฉันจะพาแกไปดูมหาวิทยาลัยที่บอสตัน”
       “ผมไม่เรียนต่อ”
       “แกไม่เรียนต่อโท แล้วแกจะทำอะไร?”
       “ไม่รู้ ยังไม่อยากคิด”
       “นายภาส !”
       รวิภาสหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลง หลับตาทำท่าเหมือนจะหลับไปเลยในทันที บุรธัชมองจ้องรวิภาสอย่างไม่ยอมแพ้

       + + + + + + + + + +

       ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ณิชมนแบกกระเป๋าสะพายพร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่ออกมาพร้อมกับกลุ่มผู้โดยสารที่ทยอยกันออกมา
       เธอหันไปมองรายรอบตัวเห็นบรรดาผู้โดยสารต่างก็มีคนมารอรับ ภายในใจของณิชมนรู้สึกแปลกถิ่น เธอยืนนิ่งอยู่กับที่เพียงลำพังเหมือนไม่รู้จะไปทางไหน ในหัวของณิชมนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ไชน่าทาวน์ เมืองซิดนีย์
       หลังจากเหตุการณ์ตะลุมบอน ณิชมนเดินกลับมาที่เกิดเหตุอีกครั้ง เธอก้มลงไปหยิบผ้าพันคอของชายนิรนามซึ่งตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา มองไปรอบๆ แต่ไร้วี่แววของชายคนนั้น พร้อมๆ กับที่ชายร่างยักษ์เพื่อนพ่อของณิชมนเดินมาหยุดอยู่ทางด้านหลังของเธอ
       “วันนี้เธอยังโชคดีนะ ที่มีคนมาช่วยไว้ทัน แต่ไม่รู้ว่า เธอจะโชคดีอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
       “พ่อก็ตายไปแล้ว ทำไมยังมาตามรังควาญกันอีกก็ไม่รู้”
       “ก็พวกมันจะเอาตัวเธอไปล้างหนี้แทนพ่อเธอยังไงล่ะ รีบหนีไปจากที่นี่ซะ ไปให้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
       “หนูไม่รู้จะหนีไปไหน หนูไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว”
       “แล้วไม่มีญาติที่เมืองไทยเลยหรือยังไง”
       ณิชมนนิ่งคิด
       นี่คือเหตุผลที่เธอต้องมายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในยามนี้
       + + + + + + + + + +

       ที่สนามบิน ณิชมนยังคงเดินใจลอยคิดหาทางออกให้ชีวิต ชายคนหนึ่งดูท่าทางรีบร้อนเดินเข้ามาชนณิชมน จนร่างเซถลา หนังสือLonely planet ในมือของเธอหลุดกระเด็นไป รวิภาสเดินเข้ามาก้มหยิบหนังสือส่งคืนให้
       “ไม่เป็นไรนะครับ”
       ณิชมนยังไม่ทันจะพูดอะไร บุรธัชก็เดินเข้ามาดึงตัวรวิภาสไป
       “ทำอะไรอยู่ ไปได้แล้ว”
       รวิภาสหันมาส่งยิ้มพลางโบกมือให้ณิชมน
       “ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ”
       “ไปยุ่งอะไรกับเรื่องคนอื่น แล้วที่พูดไปเค้าฟังรู้เรื่องเหรอ” บุรธัชขึ้นเสียงใส่รวิภาส
       “จริงด้วย ท่าทางจะไม่ใช่คนไทย ต้องกลับไปใหม่”
       บุรธัชดึงคอเสื้อรวิภาสไว้
       “มานี่เลย นายภาส”
       ว่าพลางบุรธัชลากตัวรวิภาสออกไป
       ณิชมนมองตามอย่างไม่สนใจนัก ก่อนจะหยิบผ้าพันคอยัดใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไปอย่างมุ่งมั่น

       + + + + + + + + + +
    空港内
       บุรธัชเดินนำรวิภาสอย่างเร่งร้อนมาถึงร้านกาแฟภายในสนามบิน
       “จะรีบร้อนไปไหนครับ พี่ธัช เครื่องบินดีเลย์ตั้งชั่วโมง ผมบอกแล้วว่าให้อยู่เที่ยวกรุงเทพฯก่อนซักสองสามวันก็ไม่เชื่อ บินจากลอนดอนเป็นสิบชั่วโมงแล้วบินต่อกลับเชียงรายเลย เหนื่อยตายชัก”
       “ฉันต้องกลับไปทำงาน”
       “ไร่ของพี่ไม่หนีหายไปไหนหรอกครับ”
       “ไร่บุริศราวัณเป็นของเราทั้งสองคน ที่จริงท่านพ่อสร้างไร่บุริศราวัณไว้ให้แกคนเดียวด้วยซ้ำ แกมีหน้าที่สานต่องานของท่าน”
       “ผมยกไร่บุริศราวัณให้พี่ธัชไปเลยแล้วกัน พี่ธัชจะได้เลิกกำหนดกฎเกณฑ์ ชีวิตผมซักที จบแล้ว ผมจะเรียนต่อหรือไม่เรียนต่อ หรือจะทำงานอะไร ให้ผมเลือกเอง ชีวิตเป็นของผมไม่ใช่เป็นของพี่ธัช”
       “คนที่ไม่เคยคิดถึงอนาคตอย่างแกน่ะเหรอจะเลือกชีวิตเองได้ ตราบใดที่แกยังเป็นน้องฉันอยู่ แกก็ต้องทำตมที่ฉันสั่ง”
       บุรธัชมองรวิภาสด้วยความรู้สึกของผู้ที่เหนือกว่า

       + + + + + + + + + +
       バスステーションで
       ณ สถานีขนส่ง รถแท็กซี่ที่ณิชมนนั่งมา วิ่งมาจอดที่ด้านหน้าทางเข้า กลุ่มคนขายตั๋วผีจำนวนมากวิ่งกรูเข้ามาห้อมล้อมณิชมน

       “น้องๆ จะไปไหนครับ น้อง ซื้อตั๋วกับพี่ได้”
       “ซื้อกับพี่ดีกว่า น้อง พี่ขายถูกกว่า”
       “ไม่ค่ะ ขอบคุณ” ณิชมนปฏิเสธ
       “ข้างในน่ะตั๋วหมดแล้ว ซื้อกับพี่ดีกว่า จะไปไหนล่ะ เชียงใหม่เชียงรายลำปางแม่ฮ่องสอน พี่มีหมด”
       “ไม่ค่ะ ขอทางด้วย ปล่อย ปล่อยมือฉัน”

       หญิงชรารุ่นป้าคนหนึ่งเดินแทรกเข้ามาช่วยดึงตัวณิชมนออกไปอย่างคนใจดี
       “มานี่หนู มากับป้านี่ ไอ้พวกบ้า ไปๆ คนเค้าไม่ซื้อก็มาตื๊ออยู่ได้”
       หญิงสูงวัยพาณิชมนออกไปได้อย่างทุลักทุเล ณิชมนยกมือไหว้ขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ
       “ขอบคุณนะคะ ป้า ไม่ได้ป้า หนูคงแย่แน่เลย”
       “ไม่เป็นไร หนู เห็นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ ขอให้เดินทางปลอดภัยบุญรักษานะหนู”
       ป้าแก่เดินจากไป ณิชมนมองตามด้วยความรู้สึกขอบคุณ พลางจับสายสะพายกระเป๋าให้เข้าที่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ากระเป๋าของตัวเองถูกกรีดเป็นทางยาว ณิชมนรีบเปิดกระเป๋าค้นดูของด้านใน
       “กระเป๋าตังค์หายไปแล้ว..เงิน..เงินหายหมดเลย”
       ณิชมนเงยหน้ามองไปทางป้าแก่ใจดีคนเดิม เห็นหญิงชราเร่งฝีเท้าเดินหายลับไปท่ามกลางฝูงชน ณิชมนยืนตะลึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

       ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในสถานีขนส่ง ณิชมนนั่งเอาสก็อตเทปปิดรอยขาดของกระเป๋าตัวเอง เธอเงยหน้ามองเงินค่าโดยสารรถในมือแล้วถึงกับถอนหายใจ
       “ทำไงดีต่อล่ะทีนี้ ณิชมน คิดซิๆๆ”
       ณิชมนเหลียวมองไปรอบตัว เห็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังยืนฟังไอพอดขยับแข้งขาอยู่ ส่วนอีกทางหนึ่งก็เห็นเด็กฮิปฮอปแบกวิทยุเครื่องใหญ่เดินเข้ามา เมื่อมองไปอีกทางก็เห็นขอทานเป็นใบ้กำลังถือป้ายขอเงินผู้คนที่รอรถอยู่ ณิชมนเกิดไอเดียว่าจะทำอย่างไรให้ได้เงินค่ารถ!

       ว่าแล้วณิชมนก็วางวิทยุและหงายหมวกลงกับพื้น จากนั้นจึงวางกระดาษแข็งที่เขียนด้วยลายมือว่า “ช่วยค่ารถด้วยค่ะ” ตามลงไป เธอเปิดวิทยุหมุนหาคลื่นเพลงฝรั่งมันๆ เมื่อพบแล้วก็เปิดเสียงดังสุดๆ แล้วเต้นท่าฮิปฮอปด้วยความชำนาญ
       ผู้คนที่ผ่านไปมาละแวกนั้นเริ่มเข้ามามุงดู แล้วเริ่มโยนเงินใส่หมวกที่วางไว้ทีละคน สองคน ณิชมนเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีกำลังใจเต้นต่อไปด้วยความสนุกสนาน
       บนรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ - เชียงราย ณิชมนเดินขึ้นรถมาแล้วส่งตั๋วให้พนักงาน
       “4เอ เชิญนั่งเลยค่ะ ทางซ้ายมือค่ะ”
       “รถคันนี้ไปถึงชุติมาศใช่มั้ยคะ?” ณิชมนถาม
       “ใช่ค่ะ”
       ณิชมนเดินมานั่งยังที่นั่งของตัวเอง เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

       + + + + + + + + + +

       รถยนต์ของบุรธัชแล่นมาจอดด้านหน้าบ้านบุริศราวัณ รวิภาสรีบเปิดประตูลงจากรถ บุรธัชก้าวตามลงมา อาจลงจากที่คนขับมาขนกระเป๋าเดินทางลงจากท้ายรถ
       “แกจะไปไหน?” บุรธัชถามรวิภาส
       “ไปซ้อมดนตรี”
       “ไปซ้อมดนตรีหรือว่าไปกินเหล้า?”
       “ไม่ต้องห่วง ผมน่ะ เมาไม่ขับอยู่แล้ว”
       “เมื่อไหร่แกจะเลิกทำตัวเหลวไหลซักที วันๆ เอาแต่ไปเที่ยวมั่วสุมกับเพื่อน คนเราเกิดมาต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ใช่ใช้ชีวิตหายใจทิ้งไปวันๆ อย่างแก”
       “การหาความสุขใส่ตัว คือจุดมุ่งหมายในชีวิตของผมไงครับ พี่ธัช”
       รวิภาสรีบผละออกไป อาจยกกระเป๋าเดินมาใกล้บุรธัช
       “คุณชายอย่าเข้มงวดกับคุณภาสนักเลยครับ เด็กวัยรุ่นก็ติดเที่ยวติดเพื่อนอย่างนี้แหละครับ เดี๋ยวเรียนจบก็คงจะรู้จักรับผิดชอบมากขึ้น”
       “นายภาสไม่ใช่เด็กแล้ว ลุงอาจ ตอนที่ฉันต้องกลับมาดูแลไร่ที่นี่ ฉันอายุน้อยกว่ามันด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีใครคอยจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอน ฉันก็รู้จักหน้าที่ของตัวเอง แต่นายภาสนี่ ขนาดมีฉันควบคุมดูแลอยู่ มันยังทำตัวไร้แก่นสารได้ขนาดนี้ ฉันถึงปล่อยมันไม่ได้ยังไงล่ะ”
       บุรธัชถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

       + + + + + + + + + +
    歩道  
       ที่ถนนคนเดิน รวิภาสกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มหาวิทยาลัย กันต์เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเดินถือกล่องรับบริจาคเข้าไปหาฝูงชนที่เดินผ่านไปมา
       “ช่วยบริจาคเงินสร้างโรงเรียนด้วยครับ สิบบาทยี่สิบบาทก็ได้ครับ เพื่อน้องๆ ของเราจะได้มีที่เรียนนะครับ”
       กันต์ถือกล่องบริจาคมาทางที่รวิภาสนั่งอยู่
       “ไอ้ภาส แกไปรับบริจาคบ้าง ไป อย่างแกคงได้รับบริจาคจากสาวๆ เพียบ”
       “เฮ้ย ไม่เอา”
       “เฮ้ย แกเป็นประธานชมรม ต้องทำได้ทุกอย่างโว้ย นั่งเก๊กหล่ออยู่ตรงนี้แล้วมันจะได้เงินตามเป้ามั้ย ไปเร็ว ไป”
       กันต์ดึงกีตาร์ออกจากมือรวิภาสแล้วยัดกล่องบริจาคใส่มือรวิภาสแทน รวิภาสเดินถือกล่องเข้าไปหาผู้คนที่เดินผ่านไปมา
       “ช่วยบริจาคเงินด้วยคร้าบ บริจาคเงินสร้างโรงเรียนให้น้องครับ มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อยครับ ขอบคุณครับๆ “
       กลุ่มผู้หญิงเข้ามาใส่เงินบริจาคกันมากขึ้น รวมทั้ง ม.ล.พิมพ์นฤมล นวพรรษ หรือ นมล สาวรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยก็กำลังจะหย่อนแบงก์พันลงในกล่องบริจาค
       ทันใดนั้นเองรวิภาสเงยหน้าขึ้นมาเห็นเป็นพิมพ์นฤมลกับเพื่อนสาวจึงเบี่ยงตัวหลบ ไม่ให้พิมพ์นฤมลใส่เงินได้สำเร็จ
       “มีปัญหาอะไร นี่ไม่ใช่แบงค์ปลอมนะ”
       “ฉันรู้ว่า ไม่ใช่แบงค์ปลอม”
       “แล้วทำไมไม่รับเงินของนมลล่ะคะ พี่ภาส”
       “ก็น่าจะรู้ตัวว่า ทำไมถึงไม่รับ”
       พร้อมกันนั้นรวิภาสก็รีบหันเดินหนีไปทางอื่น พิมพ์นฤมลเดินไปดักหน้าไว้ โดยมีมีนเพื่อนสาวเดินตามไปติดๆ
       “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง ฉันแค่อยากช่วยบริจาคเงินให้ชมรมนาย” พิมพ์นฤมลต่อว่า
       “ไม่ต้องพยายามเลยนะ ต่อให้เธอบริจาคกี่พันกี่หมื่น ฉันก็ไม่ให้เธอเข้าชมรมของฉัน ใครที่จะมาอยู่ชมรมฉัน จะต้องเป็นคนที่ต้องการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อเอาคะแนนกิจกรรม ไปข้างหน้าเลย ไป”
       รวิภาสแขวะแล้วเดินจากไป ทิ้งให้พิมนฤมลยืนกัดฟันด้วยความโกรธ
       “อย่าคิดนะว่า ฉันจะยอมแพ้นายง่ายๆ นายรวิภาส นายจอมเก๊ก”
       “แกไปเข้าชมรมอื่นเถอะ ชมรมค่ายอาสาฯ ไม่รับคนเข้าง่ายๆ ไม่งั้นเค้าจะเรียกพี่ภาสขาโหดเหรอ” มีนแนะนำ
       “ไม่ ยังไงฉันก็จะเข้าชมรมค่ายอาสาให้ได้”
       “นี่มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือเปล่า นมล” มีนว่า
       “ ไม่มี๊ ไม่มี” พิมพ์นฤมลตอบปฏิเสธเสียงสูง
       “วาระซ่อนเร้นอะไร มีน ฉันแค่อยากรู้ว่า ชมรมของนายภาสมีดีอะไร ใครๆ ถึงได้อยากเข้าชมรมนี้กันนัก”
       ว่าพลางทำท่าทางกลบเกลื่อน

       + + + + + + + + + +
     長距離バス
       รถทัวร์ที่มีจุดหมายปลายทางคือเชียงราย แล่นทะยานมาในความมืดของราตรี ณิชมนหยิบรูปถ่ายครอบครัวขึ้นมาดู ภาพแรกเป็นณิชมนขณะอายุห้าขวบกับพ่อและแม่ที่บ้านในเมืองไทย อีกใบเป็นภาพณิชมนถ่ายกับพ่อและแม่ที่อพาร์ตเมนท์ในออสเตรเลีย บ่งบอกถึงความสุขระหว่างสามคนพ่อแม่ลูก ณิชมนนั่งมองดูรูปแล้วนึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมา
       ภาพอดีตนั้นฉายชัดขึ้นในมโนนึกของณิชมน

       ที่สวนสาธารณะในซิดนีย์ ณิชมนนั่งอยู่กับณัชชา แม่ของเธอ ณัชชานั้นอยู่ในสภาพอิดโรย มีผ้าคลุมหัวเพราะเพิ่งผ่านการบำบัดเคมีมา เธอบรรจงสวมสร้อยที่มีล็อกเก็ตห้อยอยู่ให้ณิชมน
       “สร้อยเส้นนี้เป็นของคุณยาย เก็บไว้ให้ดีนะลูก แล้วที่อยู่ของคุณปู่ที่แม่จดไว้ให้ ก็อย่าได้ทำหายเชียวนะ ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น ให้ลูกกลับไปหาคุณปู่ที่เมืองไทย”
       “แม่อย่าพูดเป็นลางอย่างนี้ซิคะ ยังไงแม่ก็ต้องหาย ถึงทำคีโมครั้งนี้จะไม่ได้ผล แต่ครั้งหน้าจะต้องได้ผลแน่ๆ” ณิชมนปลอบแม่
       “แม่จะไม่กลับไปหาหมออีกแล้ว เสียเงินเสียทองโดยเปล่าประโยชน์ สู้เก็บเงินให้ลูกเรียนต่อดีกว่า”
       “ณิชเรียนต่อเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ชีวิตแม่สำคัญกว่า เราติดต่อกลับไปหาคุณยายดีมั้ย ถ้าท่านรู้ว่า แม่เจ็บหนัก ท่านต้องส่งเงินมาช่วยแน่ๆ”
       “คุณยายตัดขาดแม่ไปแล้ว แม่เองก็ไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคุณยายของลูก แม่ทำผิดกับท่านไว้มากเหลือเกิน”
       “คนเป็นแม่ลูกกันตัดขาดจากกันไม่ได้ง่ายๆ หรอก แม่”
       “คุณยายเป็นคนใจแข็ง พูดคำไหนคำนั้น ท่านไม่มีวันยกโทษให้แม่แน่ๆ แต่คุณปู่รักพ่อของลูกมาก แม่เชื่อว่า คุณปู่จะต้องรอพ่อของลูกอยู่ และท่านก็ต้องยอมรับลูกเป็นหลานแน่ๆ “
       ระหว่างนั้น ชยทัต พ่อของณิชมนก็เดินมาหา พลางชูกล้องถ่ายรูปในมือให้สองแม่ลูกดู
       “ณัชชา ดูซิ ผมได้อะไรมา”
       “ได้มาจากวงโป๊กเกอร์ใช่มั้ยล่ะ พ่อ?” ณิชมนถามชยทัต
       “ได้มาจากไหนก็ช่างน่า มาๆ มาถ่ายรูปกัน แม่เค้าบ่นว่า บ้านเราไม่ค่อยถ่ายรูปเก็บไว้เลย”
       ชยทัตเดินไปขอให้ฝรั่งที่เดินผ่านมาแถวนั้นถ่ายรูปให้
       “Could you take a photo ,please ?”
       แล้วชยทัตก็เดินกลับมานั่งข้างๆ ณัชชา อีกด้านหนึ่งเป็นณิชมน ทั้งชยทัตและณิชมนโอบไหล่ณัชชาที่อยู่ตรงกลาง ชยทัตหันไปสบตากับณัชชาคล้ายจะรู้ว่านี่เป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายของครอบครัว

       ภาพอดีตอีกหนึ่งเหตุการณ์ผุดซ้อนเข้ามา
       ยามเย็นที่สวนสาธารณะแห่งเดิม ณ เมืองซิดนีย์ ณิชมนกับชยทัตในชุดสีดำยืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองโปรยเถ้ากระดูกของณัชชาไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
       “เรากลับเมืองไทยกันเถอะค่ะ พ่อ”
       “พ่อยังกลับไปไม่ได้หรอก พ่อสัญญากับตัวเองว่า พ่อสร้างเนื้อสร้างตัวได้เมื่อไหร่ พ่อถึงจะกลับไป แต่ดูพ่อตอนนี้ซิ พ่อเป็นไอ้ขี้แพ้ไอ้ผีพนัน พ่อไม่น่าพาแม่หนีมาเลย ไม่งั้นแม่เค้าคงไม่ตาย”
       “พ่อทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ แม่เคยบอกว่า แม่มีความสุขทุกวันที่ได้อยู่กับพ่ออยู่กับณิช แม่เสียใจอยู่เรื่องเดียวที่ไม่มีโอกาสได้พบคุณยายอีกซักครั้ง ณิชก็เลยอยากกลับเมืองไทย ณิชอยากไปกราบขอโทษคุณยายแทนแม่”
       “พ่อก็อยากกลับไปกราบขอโทษคุณยายของลูกเหมือนกัน รออีกหน่อยนะลูก รอให้พ่อเก็บเงินได้ซักก้อนนึง แล้วเราไปกลับไปตั้งตัวใหม่ที่เมืองไทย พ่อถึงจะกลับไปสู้หน้าคุณปู่ได้ ลูกไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกนะ ลูกยังมีครอบครัวอยู่ที่เมืองไทย ลูกมีคุณปู่โชติ มีคุณยายนวลแข”
       ณิชมนแตะสร้อยที่คอ เธอเปิดล็อตเก็ตออกดูรูปณัชชาถ่ายคู่กับคุณหญิงนวลแขที่อยู่ด้านใน
       “คุณปู่โชติ.. คุณยายนวลแข...”
       “พ่อจะพาลูกกลับไปหาครอบครัวของเรา พ่อให้สัญญา”
       ชยทัตโอบไหล่ณิชมนแน่น

       + + + + + + + + + +

       ภาพอดีตอีกหนึ่งเหตุการณ์ ณิชมนวิ่งหน้าตาตื่นไปที่ซอยด้านหลังร้านค้าแห่งหนึ่ง ในย่านไชน่าทาวน์ เมืองซิดนีย์ เธอแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของชยทัตเดินตามณิชมนเข้ามา ท่ามกลางวงล้อมนั้น มีศพหนึ่งศพนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ผ้าสีขาว
       “ไม่ใช่ใช่มั้ย ไม่ใช่..ต้องไม่ใช่”
       ณิชมนมือสั่นระริก ค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมศพ พบว่าคือศพชยทัตผู้เป็นพ่อที่นอนแน่นิ่งอยู่
       ณิชมนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก มาเฟียจีนสองคนยืนมองดูจากที่ไม่ไกลนัก เพื่อนชยทัตเหลือบไปเห็นมาเฟียจึงเข้ามาดึงตัวณิชมนให้ลุกขึ้น
       “รีบออกไปก่อน ณิช”
       “ไม่..ไม่..ณิชจะอยู่กับพ่อ”
       “รีบไปก่อน เดี๋ยวเรื่องพ่อ อาจัดการให้เอง”
       เพื่อนชยทัตลากตัวณิชมนออกไป แต่ณิชมนยังคงมองมาทางศพของชยทัตตลอดไม่วางตา

       หลายวันต่อมาที่สวนสาธารณะในเมืองซิดนีย์ ณิชมนเดินมาลงนั่งที่ม้านั่งที่เธอเคยนั่งอยู่กับณัชชา เธอหยิบรูปถ่ายใบสุดท้ายของครอบครัวขึ้นมาดูแล้วก็ร้องไห้เสียใจ เพราะรู้สึกเหมือนไม่เหลือใครอีกแล้ว
       ขณะเดียวกันนั้นบุรธัชซึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวถัดไปกำลังสเก็ตออกแบบอาคาร แต่แล้วเขาก็หยุดมือเพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจผลงานตัวเอง บุรธัชหยิบรูปถ่ายครอบครัวขึ้นมาดู ในรูปเป็น ม.ล. บริพัตร ภาวินี บุรัช ตอนอายุยี่สิบปี และรวิภาสตอนอายุสิบปี
       บุรธัชลุกขึ้นเดินผ่านหน้าณิชมนไปช้าๆ ณิชมนเหลือบตาขึ้นจากรูปในมือเห็นเพียงผ้าพันคอปลิวไสวผ่านหน้าไป เธอก้มลงดูรูปถ่ายครอบครัวอีกครั้ง

       + + + + + + + + + +

       บนรถทัวร์ที่แล่นไปท่ามกลางความมืดคันนั้น ณิชมนกำลังนั่งดูรูปถ่ายใบสุดท้ายของครอบครัวที่ถืออยู่ในมือ
       “ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว กลับไปหาคุณปู่นะ ลูก” เสียงณัชชาดังก้องอยู่ในหัวณิชมน
       “แล้วคุณยายล่ะคะ”
       “ไปหาคุณปู่ก่อน ให้คุณปู่ยอมรับลูกก่อน แล้วคุณยายคงจะยอมรับลูกเอง ถ้าได้พบคุณยายเมื่อไหร่ บอกท่านว่า แม่เสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง..แม่เสียใจจริงๆ “
       ณิชมนนั่งนิ่งสีหน้ามีแววมุ่งมั่นฉายชัด
       ณ บ้านบุริศราวัณ บุรธัชกำลังยืนมองรูปถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ที่ผนังบ้าน
       ชายหนุ่มมองไล่ไปทีละรูปอย่างช้าๆ เสียง ม.ล. บริพัตร ผู้เป็นพ่อของเขาดังก้องอยู่ในหัว
       “ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ฝากนายภาสด้วยนะ”
       “ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
       “แกไม่ต้องถามอะไรมาก รับปากซิ นายธัช ถ้าไม่มีพ่อแล้ว แกจะต้องทำหน้าที่แทนพ่อ ดูแลนายภาสให้ดี แล้วก็รักษาไร่บุริศราวัณของเราไว้ให้ได้ รับปากพ่อซิ”
       “ผมจะต้องทำหน้าที่แทนท่านพ่อไปอีกนานแค่ไหนครับ”
       บุรธัชยืนนิ่ง คิดถึงภาระหนักหนาที่ตัวเองต้องแบกรับมานานหลายปี

       อ่านต่อหน้า 2

0 件のコメント:

コメントを投稿